สำหรับใครที่ต้องการใช้ Audio Interface เชื่อมต่อ iPad ,iPhone เพื่อทำงานเพลง หรือบันทึกเสียง บทความนี้มีคำแนะนำวิธีการให้ครับ
เดิมที Audio Interface ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ ใช้แค่สาย USB เส้นเดียวก็ใช้งานได้ทันที พออุปกรณ์ iOS อย่าง iPad ,iPhone มี App สำหรับทำงานเพลง หรือบันทึกเสียงออกมาให้ใช้งานแบบเป็นเรื่องเป็นราว ก็จะมีอุปกรณ์สำหรับเสียบกีต้าร์หรือไมค์ขนาดเล็กออกมาจำหน่ายเรื่อยๆ บริษัทผู้ผลิต Audio Interface ทั้งหลายต่างก็ให้ความสนใจในตลาดนี้บ้าง จะมีการผลิต Audio Interface รุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดโดยสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ iOS เหล่านี้ได้
แต่การเชื่อมต่อ Audio Interface เข้ากับอุปกรณ์ iOS อย่าง iPad ,iPhone ก็ไม่สามารถเอาสาย USB เสียบตรงเข้าไปใช้งานได้เลยทันที จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ช่วย เรามีดูกันว่าต้องใช้อะไรบ้างครับ
รายการอุปกรณ์
มาดูรายการอุปกรณ์ว่ามีอะไรบ้าง ที่ต้องใช้ในการเชื่อมต่อ บางอย่างก็จำเป็นต้องไปหาซื้อเพิ่มเติมมาใช้ เพราะไม่มีแถมมากับ Audio Interface หรือไม่ได้แถมมากับอุปกรณ์ iOS
1) Audio Interface
ไม่ใช่ Audio Interface ทุกยี่ห้อ/ทุกรุ่น จะสามารถนำมาเชื่อมต่อใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ iOS ได้ จะมีเฉพาะรุ่นใหม่ๆ เท่านั้น แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า Audio Interface ตัวไหนที่รองรับบ้าง ? ดูจากอะไร ?
Class Compliant โปรดมองหาคำนี้ในสเป็คของ Audio Interface เช่น Class Compliant Support , CC Mode Support ซึ่งจะถูกพิมพ์ไว้ที่ข้างกล่องผลิตภัณฑ์ และสามารถเปิดดูที่เว็บไซต์ของผู้ผลิตได้ หรืออ่านดูในคู่มือผลิตภัณฑ์มีบอกไว้แน่นอนครับ เพราะสิ่งนี้คือตัวบ่งบอกว่า Audio Interface ตัวนั้นรองรับการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ iOS โดยที่ไม่จำเป็นต้องติดตั้งไดร์ฟเวอร์เพิ่มเติม
2) iOS Devices (iPad ,iPhone)
แน่นอนครับ บทความนี้เราพูดถึงการใช้งานบนอุปกรณ์ iOS เป็นหลัก ผู้อ่านสามารถเลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสมได้เลย ไม่ว่าจะเป็น iPad หรือ iPhone ก็ได้ครับ แต่ iPad จะได้เปรียบที่ขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า การใช้งาน App จึงสะดวกมากกว่า และถ้าใช้ iPad Pro จะได้เปรียบในเรื่องของความจุแบตเตอรี่ที่เยอะกว่า สามารถใช้ทำงานได้ยาวนานมากกว่าในกรณีที่ใช้งานนอกสถานที่ ไม่มีที่เสียบชาร์จ
Android ได้ไหม ? แน่นอนว่าคนที่ใช้มือถือหรือแท็ปเล็ต Android อยู่ก็อยากจะรู้ว่าสามารถใช้งานได้ไหม ขอตอบเลยว่ายากไม่สะดวกหรือใช้ไม่ได้เลย ผู้ผลิต Audio Interface เองต่างก็ออกแบบมาให้รองรับอุปกรณ์ iOS เป็นหลัก ในส่วนของ Android มีหลากหลายผู้ผลิต หลากหลายรุ่น มีมาตรฐานการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงที่แตกต่างกันไป ถึงจะใช้พอร์ต USB Type-C เหมือนกันก็เหอะ และ App สำหรับทำงานเพลงในฝั่ง Android ก็มีค่อนข้างน้อยด้วย
3) อุปกรณ์เสริม iOS Devices ที่จำเป็นต้องใช้
ในการเชื่อมต่อ Audio Interface กับอุปกรณ์ iOS นั้น จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม ซึ่งบางอย่างจำเป็นต้องหาซื้อมาเพิ่มด้วยนะครับ
3.1) Apple Lightning to USB 3 Camera Adapter
เราจำเป็นต้องใช้ Apple Lightning to USB 3 Camera Adapter สำหรับเชื่อม iPad ,iPhone กับอุปกรณ์ต่อพ่วง อย่างเช่น Audio/MIDI Interface ,USB Hub ,Ethernet adapters ,Card readers สำหรับ CompactFlash, SD, microSD
และในขณะเดียวกันเราก็สามารถชาร์จ iPad ,iPhone ไปพร้อมกันผ่านทางพอร์ต Lightning ได้ด้วยครับ
3.2) USB 3 Hub
นี่เป็นอุปกรณ์ตัวสำคัญอีกตัวเลยก็ว่าได้ครับ นั่นก็คือ USB 3 Hub แบบจ่ายไฟเข้าไปเพิ่มได้ เพื่อจ่ายไฟให้อุปกรณ์ต่อพ่วงได้
ในการเลือกซื้อ USB 3 Hub ให้เน้นจุดนี้ด้วยนะครับ ต้องสามารถเสียบ Power Bank / Charger เพื่อจ่ายไฟเลี้ยง Audio Interface ได้ด้วยครับ
เนื่องจากแบตเตอรี่ของ iPad ,iPhone มีน้อย ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟออกมาเลี้ยง Audio Interface ได้เพียงพอ ยิ่งตอนที่กดปุ่ม +48v Phantom ด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งต้องใช้ไฟเพิ่มอีกครับ จึงจำเป็นมากๆ ที่ USB 3 Hub ต้องมีช่องจ่ายไฟเพิ่มจากภายนอกได้ด้วยครับ
4) Power Bank / แหล่งจ่ายไฟภายนอก
อุปกรณ์ iOS ไม่ว่าจะเป็น iPad ,iPhone หรือแม้แต่ Audio Interface ต่างก็ต้องการไฟเลี้ยงเพื่อให้สามารถทำงานได้ ถึงแม้ว่า iPad ,iPhone จะมีแบตเตอรี่ภายในตัวเอง ก็ยังจำเป็นที่ต้องเสียบชาร์จไปด้วย ขณะที่ใช้ App ทำงานเพลงหรือบันทึกเสียง เพราะค่อนข้างใช้พลังงานมากขึ้นและก็ทำให้แบตหมดเร็วมากขึ้น
ส่วน Audio Interface เอง ตลอดจนรวมไปถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ เช่น MIDI Kerboard (คีย์บอร์ดใบ้) ,MIDI Pad ,MIDI Controller ต่างก็รับการจ่ายไฟเลี้ยงผ่านทางพอร์ต USB กันทั้งนั้น แหล่งจ่ายไฟจึงขาดไม่ได้เลยครับ
ในการเลือกว่าจะใช้ Power Bank หรือ ตัวชาร์จแบบเสียบปลั๊ก ก็สามารถตัดสินใจได้ง่ายๆ จากลักษณะการทำงานของเรา ดังนี้
- เลือกใช้ Power Bank - กรณีที่ทำงานนอกสถานที่ ไม่มีปลั๊กไฟให้เสียบได้เลย
- เลือกใช้ ตัวชาร์จแบบเสียบปลั๊ก - กรณีที่ทำงานในห้องหรืออาคารที่มีปลั๊กไฟให้เสียบได้
วิธีการเชื่อมต่อ
เมื่อเราหาอุปกรณ์ทุกอย่างได้มาครบแล้ว มาดูวิธีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมดกันเลยครับ
จากภาพการเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมดนี้ สามารถปรับเปลี่ยนได้หลายจุด อย่างเช่น
- iOS Devices เราสามารถใช้ได้ทั้ง iPad หรือ iPhone
- จุดการจ่ายไฟ สามารถใช้ร่วมจากแหล่งเดียวกันได้ กรณีที่เครื่องชาร์จมี 2 พอร์ต
- จุดการจ่ายไฟ สามารถใช้กับ Power Bank ตัวเดียวกันได้ กรณีที่มีช่องจ่ายไฟ 2 พอร์ต
- การใช้ USB3 Hub ดังรูป ทำให้เราสามารถต่อพ่วงอุปกร์เพิ่มได้ เช่น MIDI Pad ,MIDI Controller
- ใน iPad รุ่นใหม่ที่เป็นพอร์ต USB Type-C แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องใช้ Apple Lightning to USB 3 Camera Adapter สามารถใช้ USB3 Hub ที่เป็นพอร์ต USB Type-C เสียบที่ iPad ได้เลย
เมื่อเปิด app : Cubasis 3 ขึ้นมา Cubasis 3 จะทำงานร่วมกับ Audio Interface ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครื่อง iOS ทันที สามารถเช็คได้โดย ไปที่เมนู SETUP > Audio จะพบชื่อของ Audio Interface ปรากฎอยู่ดังภาพด้านบน (ในตัวอย่างเป็น MOTU M2)
Minimal Setup
จากตัวอย่างการเชื่อมต่อ Audio interface เพื่อใช้งานกับอุปกรณ์ iOS ที่กล่าวมานั้น จะเห็นว่ามีการใช้อุปกรณ์เสริมหลายอย่าง จะหอบเคลื่อนย้ายทีก็ดูจะรุงรังมากๆ ดังนั้นผมจึงขอแนะนำ Minimal Setup จุดเล็ก เคลื่อนที่ไว มาให้ชมอีกชุดนึงครับ
จากที่ลองค้นหา Audio interface ขนาดเล็ก ที่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ iOS ได้โดยตรง และไม่จำเป็นต้องจ่ายไฟเลี้ยงเพิ่มเติม มีผลิตภัณฑ์ของทาง IK Multimedia สัญชาติอิตาลี่ มาแนะนำกันครับ
iRig HD 2 เป็น Audio Interface ที่ออกแบบมาเพื่อนำเอาเสียงกีต้าร์เข้าไปใช้งานในอุปกร์ iOS เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการ Jam กีต้าร์กับเพลง หรือการบันทึกเสียงกีต้าร์เข้า app ทำเพลง ด้วยการเชื่อมต่อเป็นพอร์ต Lightning จึงสามารถเสียบตรงเข้ากับอุปกรณ์ iOS ได้ทันที โดยใช้ไฟเลี้ยงจากอุปกรณ์ iOS โดยตรง ก็สามารถใช้งานได้ทันที ดังภาพด้านล่างนี้ครับ มือกีต้าร์น่าจะถูกใจสิ่งนี้ แต่ไม่สามารถต่อไมค์ได้นะครับ
iRig Pre HD เป็น Audio Interface ที่ออกแบบมารับเสียงเข้าทางช่องเสียบแบบ XLR 1 Channel (โมโน) ทำให้สามารถนำสัญญาณแบบ Balanced จาก Mixer หรืออุปกรณ์ระบบเสียงมืออาชีพเข้าไปใช้งานในอุปกร์ iOS ได้ และยังสามารถเสียบไมค์คอนเดนเซอร์พร้อมจ่ายไฟ Phantom +48v ให้กับไมค์ได้ด้วย เพื่อการบันทึกเสียงเข้า app ทำเพลงหรือบันทึกเสียง ด้วยการเชื่อมต่อเป็นพอร์ต Lightning จึงสามารถเสียบตรงเข้ากับอุปกรณ์ iOS ได้ทันที โดยใช้ไฟเลี้ยงจากถ่าน AA 2 ก้อน ในตัวเครื่อง (ปิดฝาด้านหลัง) ก็สามารถใช้งานได้ทันที ดังภาพด้านล่างนี้ครับ
iRig Pro I/O เป็น Audio Interface ที่มีช่อง Input แบบ Combo Jack 1 Channel (โมโน) ทำให้สามารถนำสัญญาณแบบ Balanced จาก Mixer หรืออุปกรณ์ระบบเสียงมืออาชีพ ด้วยปลั๊กแบบ XLR หรือ TRS และ TS (ปลั๊กกีต้าร์) เข้าไปใช้งานในอุปกร์ iOS ได้ และยังสามารถเสียบไมค์คอนเดนเซอร์พร้อมจ่ายไฟ Phantom +48v ให้กับไมค์ได้ด้วย (ใช้ปลั๊ก XLR) และแถมยังมีช่อง MIDI IN-OUT มาในรูปแบบแจ๊ค 3.5มม เพื่อต่ออุปกรณ์ MIDI ส่งเข้า app ทำเพลงได้ด้วย การเชื่อมต่อเป็นพอร์ต Lightning จึงสามารถเสียบตรงเข้ากับอุปกรณ์ iOS ได้ทันที โดยใช้ไฟเลี้ยงจากถ่าน AA 2 ก้อน ในตัวเครื่อง (ปิดฝาด้านหลัง) ก็สามารถใช้งานได้ทันที ดังภาพด้านล่างนี้ครับ
iRig Pro Duo I/O จะคล้ายกับรุ่น iRig Pro I/O โดยให้จำนวน Input มาเป็น 2 แชลเนล จึงเหมาะกับงานที่ต้องการใช้งาน 2 แชลเนลพร้อมกัน และมีช่องการเชื่อมต่อที่หลากหลายกว่า ดังภาพด้านล่างนี้
บทสรุป
จากวิธีการเชื่อมต่อไม่ว่าจะเป็นชุดใหญ่หรือชุด Minimal ชุดไหนเหมาะกับเรา ? ก็สามารถพิจารณาได้จากรูปแบบการใช้งานของเรา ถ้าปกติทำงานอยู่แต่ในห้อง ผมว่าต่อ Audio Interface กับ Laptop น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอุปกรณ์แสนจะเรียบง่ายไม่รุงรัง แถมได้ประสิทธิภาพขั้นสุดของงานแบบมืออาชีพ เพราะการใช้งานบนอุปกรณ์ iOS ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก แถม app ที่มีก็น้อยรวมทั้ง feature ก็มีจำกัด
แต่ถ้าจำเป็นต้องทำงานนอกสถานที่ อยากได้ความคล่องตัว ผมขอแนะนำชุด Minimal เพราะค่อนข้างสะดวกด้วยจำนวนอุปกรณ์ต่อพ่วงที่น้อยกว่า เคลื่อนย้ายง่ายครับ