Audio Interface หรือ Sound Card จริงๆแล้วก็คืออันเดียวกัน แต่ Audio Interface จะถูกออกแบบมาเพื่อเป็น Interface ที่หลากหลาย และยืดหยุ่น รวมทั้งคุณภาพเสียงที่ดีและแม่นยำกว่า ไม่ว่าจะเป็น จำนวน Input ,Output ที่มากกว่า ,Converter ที่มีความระเอียดสูง ซึ่งแน่นอนว่า ออกแบบมาเพื่อทำงานด้านเสียงโดยเฉพาะ
ต่างจาก Sound Card ที่ออกแบบมาเพื่อ Playback ระบบเสียงสำหรับดูหนัง ฟังเพลง ที่ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากมาย อย่างเช่น Sound On Board เป็นต้น
เราจำเป็นต้องมี Audio Interface เพื่อทำงานด้านเสียง ซึ่งสมัยนี้มีเยอะแยะเต็มไปหมดในท้องตลาด แล้วเราจะมีวิธีเลือกซื้อมาใช้งานได้อย่างไร ? ลองพิจารณาจากหัวข้อต่อไปนี้ จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ
งบประมาณ
แน่นอน ถ้าจะซื้อของก็ต้องดูเงินในกระเป๋าสตางค์ของเราก่อน ให้ตั้งงบประมาณสูงสุดที่คุณคิดว่าคุณสามารถจ่ายได้โดยไม่เดือดร้อนอะไร แล้วเท่าไหร่ล่ะถึงจะพอดี ? ดูจากสเกลงานที่เราทำอยู่ครับ ถ้าทำงานด้านเสียง เช่น ทำดนตรีเล่นสนุกๆกับเพื่อน หรือ cover เพลงลง YouTube ก็ถือว่าเป็นงานที่ไม่ค่อยจะได้เงินตอบแทนกลับมาเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากเกินไปจนเจ็บตัวครับ แต่ถ้าทำงานได้ค่าจ้าง หรือ รับจ้างเป็นเรื่องเป็นราว แน่นอนว่าต้องเน้นคุณภาพที่มากขึ้นก็ต้องซื้อรุ่นที่เหมาะกับมืออาชีพ
ถ้าจะให้บอกเป็นตัวเงินว่ากี่บาท ก็พอจะบอกได้ โดยยึดตามราคาจำหน่าย (ราคา ณ วันที่เขียนบทความนี้คือ วันที่ 5/11/2559 นี่เป็นการประมาณการโดยผู้เขียนเท่านั้น ไม่ใช่มาตรฐาน)
- ราคาประมาณ 3,000 – 10,000 บาท Semi-Pro : เหมาะกับ มือใหม่ ทำเพลง demo ,Cover เพลงลง Youtube ประมาณนี้
- ราคา 10,000 บาท ขึ้นไป Professional : เหมาะสำหรับทำงานเพื่อประกอบอาชีพ งานที่ซีเรียส ต้องการผลงานที่มีคุณภาพสูง
ราคาจากการประมาณการนี้อาจจะไม่ได้ช่วยอะไร แต่ก็พอจะทำให้มองเห็นภาพได้ ลองเดินดูของที่มีขายในท้องตลาดดูสิครับ
การเข้ากันได้กับ DAW
DAW = Digital Audio Workstation คือ Software ที่ใช้ทำงานด้านเสียง อาทิเช่น Pro Tools ,Cubase ,Nuendo ,Logic ,Cakewalk Sonar เป็นต้น (การเลือกใช้ DAW ดูในข้อถัดไป) เดี๋ยวนี้ Audio Interface ส่วนมากสามารถใช้ได้กับ DAW ทุกตัว แต่ก็มีบางตัวที่ออกแบบมาเพื่อ DAW ในค่ายตัวเองเท่านั้น ในข้างกล่องมีบอกไว้หมดแล้วครับ
พอร์ตการเชื่อมต่อ
พอร์ตการเชื่อมต่อของ Audio Interface มีหลากหลาย เช่น USB 1.1 ,USB 2.0 ,USB 3.0 ,Firewire 400-800 ,Thunderbolt ,PCI Express slot ,PCI slot เป็นต้น ให้หันไปดูคอมพิวเตอร์ที่เราเลือกมาใช้ทำงานว่าเหมาะที่จะใช้การเชื่อมต่อแบบไหน ถ้าเป็น Laptops สมัยนี้ก็จะมีพอร์ต USB 2.0 ,USB 3.0 แต่ถ้า Audio Interface ที่เป็นการ์ด PCI Express ก็ต้องใช้กับ Desktop PC หรืออย่างพอร์ต Thunderbolt ซึ่งส่วนมาก (มากๆ 99.99%) จะต้องใช้กับเครื่อง Mac เท่านั้น ดูจากภาพรวมแล้ว Audio Interface ที่ใช้การเชื่อมต่อด้วยพอร์ต USB 2.0 น่าจะเป็นทางเลือกที่ค่อนข้างยืดหยุ่น และใช้ได้กับทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่า Mac หรือ Windows ไม่ว่าจะเป็น Macbook หรือ Laptops ยี่ห้ออื่นๆ
IN/OUT
จำนวน Input ของ Audio Interfaces ก็เป็นหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่น้อย ต้องมีเพียงพอต่อการใช้งานของเรา ยกตัวอย่าง ต้องการอัดเสียงร้องไปพร้อมกับกีต้าร์โปร่งแต่แยกกันคนละ Track ก็เท่ากับว่า ต้องใช้ Audio Interfaces ที่มี Input อย่างน้อย 2 ช่อง ( Mic & Instrument) แต่ถ้าหากต้องการอัดกลองชุด ซึ่งจะมีการจ่อไมค์หลายตัวมาก เท่ากับว่าคุณต้องมี Audio Interfaces ที่มี Mic Input จำนวนมากตามไปด้วย แต่นับเฉพาะจำนวน Input ที่จะต้องอัดไปพร้อมกันในเวลาเดียวกันเท่านั้นครับ ถ้าอัดคนละครั้งก็ใช้ Input เดียวกันได้
จำนวน Output อาจจะมีแค่ 2 Channel (1 Stereo = 2 Channel) เท่านั้นสำหรับงานทำดนตรี แต่ก็อาจจะมีมากกว่า 2 Channel เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน เช่น มีช่อง หูฟัง เป็นต้น แต่ถ้าต้องทำงานมิกซ์ระบบเสียงภาพยนต์ 5.1 หรือ 7.1 นั่นหมายความว่าคุณต้องมี Output 6-8 Channel
I Like ThisUnlike
0
Please Login to Vote
I Dislike ThisUn-Dislike
0
Please Login to Vote